Categories
เหตุการณ์ปัจจุบัน

New Normal คืออะไร?? ความปกติในรูปแบบใหม่

New Normal คืออะไร?? ความปกติในรูปแบบใหม่

ลิงค์: https://ehenx.com/7087/ หรือ
เรื่อง:


New Normal คืออะไร?? ความปกติในรูปแบบใหม่

เปิดความหมายที่แท้จริง ‘New Normal’ หรือ ‘ความปกติรูปแบบใหม่’ คำยอดฮิตช่วงโควิด-19

New Normal หมายถึงอะไร?

คำว่า “New Normal” หรือ “ความปกติในรูปแบบใหม่” ถูกใช้เป็นครั้งแรกในปี 2008 โดย Bill Gross นักลงทุนในตราสารหนี้ชื่อดัง (bond guru) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Pacific Investment Management (PIMCO) โดยให้นิยามถึงสภาวะเศรษฐกิจโลก ที่จะมีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงจากในอดีตและเข้าสู่อัตราการเติบโตเฉลี่ยระดับใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม ควบคู่ไปกับอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังเกิดวิกฤติทางการเงินในสหรัฐฯ อีกทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจจะไม่ได้เป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจเดิมแบบที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวกำหนดการเติบโตทางเศรษฐกิจมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปหรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในลักษณะที่แตกต่างจากในอดีต

แนวคิดเรื่อง New Normal ของ Bill Gross ในช่วงแรกกลับไม่ได้รับความสนใจและยังถูกปฏิเสธโดยนักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าการชะลอตัวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการถดถอย (recession) ตามวัฏจักรเศรษฐกิจเดิมเท่านั้น และในไม่ช้าเศรษฐกิจและการจ้างงานก็จะกลับมาเติบโตได้ที่ค่าเฉลี่ยดังเดิม แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ Bill Gross ได้พูดไว้ตั้งแต่ปี 2008 นั้นมีส่วนที่ถูกต้องอยู่ไม่น้อย

แบบเข้าใจง่าย

ช่วงที่เชื้อโคโรนาไวรัสกำลังแพร่ระบาด หลายคนคงได้ยินคำว่า New Normal หรือความปกติในรูปแบบใหม่ บ่อยครั้ง ในความหมายว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนจะเปลี่ยนไปหลังจากโรคระบาดผ่านพ้นไป แล้วจริงๆ แล้วคำคำนี้มีความหมายว่าอะไร มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ ไปดูกัน

คำว่า New Normal ถูกใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2008 โดย บิลล์ กรอสส์ นักลงทุนในตราสารหนี้ชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Pacific Investment Management (PIMCO) กรอสส์ใช้คำนี้นิยามสภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2007-2008 ในสหรัฐ และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Recession) ช่วงปี 2008-2012 ทั่วโลก โดยบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง และจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่ำกว่าเดิม อีกทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจจะไม่ได้เป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจเดิมที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยกำหนดทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป หรือส่งผลต่อเศรษฐกิจในลักษณะที่แตกต่างจากอดีต

ที่ใช้คำว่า New Normal ก็เพราะเดิมวิกฤตเศรษฐกิจจะมีรูปแบบค่อนข้างชัดเจนคือ เมื่อเติบโตไปได้ระยะหนึ่งจะมีปัจจัยทำให้เกิดฟองสบู่ จากนั้นวิกฤตเศรษฐกิจจะตามมา หลังวิกฤตผ่านพ้นไป เศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตได้อีกครั้งในเวลาไม่นาน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ หรือ Normal แต่หลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่สามารถกลับไปเติบโตได้ดีแบบเดิมอีก เนื่องจากปัจจัยต่างๆ อาทิ การพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไปทั้งที่บางประเทศมีหนี้สาธารณะสูงมาก จากนั้นมาคำว่า New Normal จึงถูกนำมาใช้เรียกการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลง และอาจไม่มีทางกลับไปเติบโตได้ในระดับเดิมอีกแล้ว

ตัวอย่าง New Normal เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ เศรษฐกิจของจีน

ช่วงก่อนปี 2007 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เศรษฐกิจจีนขยายตัวมากกว่า 10% มาโดยตลอด แต่หลังจากนั้นการเติบโตก็ลดลงต่อเนื่อง จนถึงปี 2014 เศรษฐกิจจีนไม่เคยเติบโตเกิน 7% อีกเลย ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจึงชี้แจงกับชาวจีนว่า ที่เศรษฐกิจจีนเติบโตเพียง 7% แทนที่จะเป็นเลขสองหลักเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ใช่เป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็น New Normal ทางเศรษฐกิจของจีนในอนาคต ส่วน New Normal ในยุค Covid-19 ถูกนำมาใช้ในความหมายว่าสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จะเกิดขึ้นและกลายเป็นความปกติในรูปแบบใหม่หลังจากเชื้อโคโรนาไวรัสหมดไป ไม่ว่าจะเป็นการช็อปปิ้งที่จะเปลี่ยนจากออฟไลน์เป็นออนไลน์ การทำงานอาจทำจากที่บ้านมากขึ้น หน้ากากอนามัยและเจลล้งมือกลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ และการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่แทนการนั่งทานในร้าน เป็นต้น

อะไรคือเงื่อนไขให้เศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ New Normal?

  Youtube: iqepin LINE it! เพิ่มเพื่อน  

นักเศรษฐศาสตร์ที่สนับสนุนแนวคิด New Normal เชื่อว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงเกิดจาก 3 สาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว ได้แก่ 1.) การใช้จ่ายทางการคลังจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงเวลาที่ผ่านมาโดยยอมให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น ถือเป็นการ “กู้ยืมการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต” (borrowing future potential growth) และต้องชดเชยด้วยอัตราการเติบโตระดับต่ำในภายหลัง 2.) การกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น (re-regulation) หลังเกิดวิกฤติทั้งด้านการคลังและในตลาดเงิน จนนำมาสู่อัตราทดและผลตอบแทนทางการเงินที่ลดต่ำลง (deleveraging) และ 3.) การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการผลิตในแต่ละเศรษฐกิจเพื่อให้สอดคล้องกับทรัพยากรและความต้องการภายในประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต และลดการพึ่งพาการค้าการลงทุนระหว่างประเทศที่อาจมีมากเกินไป

ตัวอย่าง New Normal ทางเศรษฐกิจมีหน้าตาเป็นอย่างไร?

เพื่อให้เข้าใจถึงการเข้าสู่สภาวะ New Normal ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น จึงขอหยิบยกนโยบายการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ (rebalancing) ของจีนในปัจจุบันที่น่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดมากที่สุด นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนคนปัจจุบันได้อธิบายถึงการลดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนลงเหลือเพียง 7% จากเดิมที่เคยเติบโตได้เฉลี่ยราว 10% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ว่ามิใช่เป็นการถดถอยทางเศรษฐกิจ แต่เป็นสภาวะ New Normal ของเศรษฐกิจจีนในช่วง 10 ปีต่อไปจากนี้ โดยมุ่งเป้าที่จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นและไม่เน้นอัตราการเติบโตที่หวือหวาอย่างในอดีต

สาระสำคัญที่จะเกิดขึ้นในช่วงการปรับสมดุลและนำเศรษฐกิจจีนไปสู่สภาวะ New Normal ประกอบด้วย 1.) การลดการพึ่งพาเม็ดเงินลงทุนโดยเฉพาะจากภาครัฐ (investment-led growth) แล้วหันมาพึ่งพาการบริโภคเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ (consumption-led growth) 2.) การกำกับดูแลของภาครัฐที่เข้มงวดมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การลดบทบาทการกู้ยืมเงินของภาคธุรกิจเอกชนและรัฐบาลท้องถิ่นผ่านบริษัททรัสต์นอกเหนือจากการกู้ยืมผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ (Shadow Banking) และ 3.) สภาวะประชากรในวัยแรงงานที่ลดลง โดยมีอัตราส่วนของประชากรในวัยทำงาน (อายุ 16 – 65 ปี) ต่อประชากรในวัยอื่นลดลงเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2010

ถึงแม้การปรับสมดุลที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลกระทบในทางลบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างมีนัยสำคัญ แต่เศรษฐกิจจีนยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงในหลายด้าน ทั้งหนี้สาธารณะของรัฐบาลที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเพียง 40% ของจีดีพี การออมของภาคเอกชนที่มีสูงถึง 50% ของจีดีพี กำลังแรงงานในชนบทที่ยังคงเหลือกว่า 30% และเงินทุนสำรองต่างประเทศที่สูงที่สุดในโลก เศรษฐกิจจีนจึงน่าจะยังเติบโตได้ในระดับเฉลี่ย 6-7% ตาม New Normal ที่นายสีจิ้นผิงได้กล่าวไว้

เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ New Normal หรือไม่?

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตที่อัตราเฉลี่ยเพียง 3.6% เท่านั้น ลดลงจากในอดีตที่เคยเติบโตได้เฉลี่ยถึง 4.7%ในช่วง 10 ปี ก่อนปี 2008 จนทำให้นักเศรษฐศาสตร์เริ่มมีความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยอาจกำลังเข้าสู่สภาวะ New Normal ที่เกิดจากการสูญเสียศักยภาพในการเติบโต (potential growth) แทนที่จะเป็นการถดถอยตามวัฏจักรเศรษฐกิจทั่วไป

ถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะยังขาดปัจจัยเสี่ยงภายในทางด้านการคลังตามนิยามเบื้องต้นของการเข้าสู่สภาวะ New Normal แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่สภาวะ New Normal ได้เช่นกัน ทั้งปัญหาที่เกิดจากทรัพยากรการผลิตในประเทศและโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ อันได้แก่ 1.) ปัญหาด้านโครงสร้างประชากรทั้งการขาดแคลนแรงงาน และการเข้าสู่สังคมวัยชราของประชากรไทย ที่ถือเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการขยายตัวของผลผลิตภายในประเทศ 2.) ผลิตภาพแรงงานไทยที่มีการพัฒนาช้ากว่าเทคโนโลยีการผลิตของโลกและไม่สามารถยกระดับเทคโนโลยีการผลิตได้ ซึ่งสำหรับประเทศไทยที่มีสถานะเป็นผู้รับจ้างผลิตมาเป็นระยะเวลายาวนาน การผลิตที่ขาดผลิตภาพ (low productivity) และไม่คุ้มต้นทุน (cost inefficient) อาจส่งผลให้ผู้จ้างทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและผู้จ้างใหม่ในอนาคตปรับตัวและหันไปจ้างแหล่งผลิตอื่นที่มีศักยภาพด้านแรงงานสูงกว่า 3.) ธุรกิจเกิดใหม่ของไทยยังขาดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเกิดจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำ 4.) การค้าเสรีที่เพิ่มมากขึ้นนำมาซึ่งราคาขายสินค้าที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สินค้าไทยในบางอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาต่ำลงต้องเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อหันไปผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของคนในประเทศหรือสินค้าที่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้มากขึ้นแทน และ 5.) หากคู่ค้าที่สำคัญอย่างจีนและยุโรปปรับตัวเข้าสู่สภาวะ New Normal เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกกว่า 70% ของจีดีพี และพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนและยุโรปถึง 1 ใน 5 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ย่อมต้องเข้าสู่สภาวะ New Normal ตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา: https://www.posttoday.com/world/622276, https://www.scbeic.com/th/detail/product/1313

Comments

comments

ข่าวงานราชการเปิดสอบ 2567-2569
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.